ข้อบังคับ
สมาคมศิษย์เก่า
วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สระบุรี
พ.ศ.2556
หมวดที่ 1
ความทั่วไป
ข้อ 1. สมาคมนี้ชื่อว่า สมาคมศิษย์เก่าวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สระบุรี ใช้ชื่อย่อว่า สศ.วพบ.สบ. ใช้ชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า “Boromarajonani College of Nursing, Saraburi Alumni Association” ใช้ชื่อย่อว่า BCNS.AA
ข้อ 2. เครื่องหมายของสมาคม มีลักษณะเป็นรูปหมวกพยาบาล ตั้งอยู่บนฐานสามเหลี่ยม พื้นสีน้ำเงินมีข้อความว่า “สมาคมศิษย์เก่า วพบ.สระบุรี”
ข้อ 3. สำนักงานของสมาคม ตั้งอยู่ที่ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สระบุรี เลขที่ 18/64 ถนนเทศบาล 4 ตำบล ปากเพรียว อำเภอเมือง จังหวัดสระบุรี 18000 หมายเลขโทรศัพท์ 036-211948
ข้อ 4. วัตถุประสงค์ของสมาคมเพื่อ
4.1 เสริมสร้างความรัก ความสามัคคี และสัมพันธภาพระหว่างสมาชิก
4.2 เป็นศูนย์กลางในการสื่อสารและเผยแพร่ความรู้ทางวิชาการแก่สมาชิก
4.3 ให้ความช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน
4.4 เพื่อดำเนินการหรือร่วมมือกับองค์กรการกุศล เพื่อการกุศลและองค์การสาธารณะประโยชน์เพื่อสาธารณะประโยชน์
4.5 ไม่ดำเนินการจัดตั้งโต๊ะสนุกเก้อร์และบิลเลียดแต่อย่างใด
4.6 ไม่ดำเนินการเกี่ยวข้องกับการเมืองแต่ประการใด
หมวดที่ 2
สมาชิก
ข้อ 5. สมาชิกของสมาคมมี 4 ประเภท คือ
5.1 สมาชิกสามัญ ได้แก่
5.1.1 ผู้ที่สำเร็จการศึกษาจากวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สระบุรีทุกรุ่นทุกหลักสูตร
5.1.2 ผู้ที่ผ่านการอบรมหลักสูตรต่างๆจากวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สระบุรี
5.1.3 อาจารย์หรือเจ้าหน้าที่ ที่ปฏิบัติงาน/เคยปฏิบัติงานใน วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สระบุรี
5.2 อนุสมาชิก ได้แก่ ศิษย์ปัจจุบันที่เป็นนักศึกษาและกำลังศึกษาในวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สระบุรี
5.3 สมาชิกสมทบ ได้แก่ บุคคลอื่นที่คณะกรรมการสมาคมพิจารณาเห็นสมควรให้เป็นสมาชิกสมทบได้
5.4 สมาชิกกิตติมศักดิ์ได้แก่บุคคลผู้ทรงเกียรติหรือทรงคุณวุฒิหรือผู้มีอุปการคุณต่อสมาคมซึ่งคณะกรรมการสมาคม พิจารณาให้เชิญเข้าเป็นสมาชิกของสมาคม
ข้อ 6. สมาชิกจะต้องประกอบด้วยคุณสมบัติ ดังต่อไปนี้
6.1 เป็นผู้บรรลุนิติภาวะแล้ว
6.2 เป็นผู้มีความประพฤติเรียบร้อย
6.3 ไม่เป็นโรคร้ายแรงหรือโรคที่สังคมรังเกียจ
6.4 ไม่ต้องคำพิพากษาของศาลถึงที่สุดให้เป็นบุคคลล้มละลายหรือไร้ความสามารถหรือเสมือนไร้ความสามารถหรือต้องโทษจำคุก ยกเว้นความผิดฐานประมาท หรือลหุโทษ การต้องคำพิพากษาของศาลถึงที่สุดในกรณีดังกล่าว จะต้องเป็นในขณะที่สมัครเข้าเป็นสมาชิกหรือในระหว่างที่เป็นสมาชิกของสมาคม เท่านั้น
ข้อ 7. ค่าลงทะเบียนและค่าบำรุงสมาคม
7.1 สมาชิกสามัญ อนุสมาชิก และสมาชิกสมทบ จะต้องเสียค่าลงทะเบียน ครั้งแรก คนละ 100 บาท
7.1.1 สมาชิกสามัญ เสียค่าบำรุงสมาคมตลอดชีพ 500 บาท
7.1.2 อนุสมาชิก เสียค่าบำรุงสมาคมตลอดชีพ 100 บาท
7.1.3 สมาชิกสมทบ เสียค่าบำรุงสมาคมปีละ 200 บาท หรือตลอดชีพ 500 บาท
7.2 สมาชิกกิตติมศักดิ์ มิต้องเสียค่าลงทะเบียนและค่าบำรุงสมาคมแต่อย่างใด
ข้อ 8. การสมัครเป็นสมาชิกสมาคม ให้ผู้ประสงค์จะสมัครเข้าเป็นสมาชิกของสมาคม ยื่นใบสมัครตามแบบ
ของสมาคมต่อเลขานุการ โดยมีสมาชิกสามัญรับรอง 1 คน และให้เลขานุการ ติดประกาศรายชื่อไว้ ณ สำนักงานของสมาคม เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 15 วัน เพื่อให้สมาชิกอื่นๆของสมาคม จะได้คัดค้านการสมัครนั้น เมื่อครบกำหนดประกาศแล้วก็ให้เลขานุการนำใบสมัครและหนังสือคัดค้านของสมาชิก (ถ้ามี) เสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการสมาคมเพื่อพิจารณาอนุมัติว่าจะรับหรือไม่ประการใด แล้วให้เลขานุการเป็นผู้แจ้งให้ผู้สมัครทราบโดยเร็ว
ข้อ 9. ถ้าคณะกรรมการการพิจารณาอนุมัติให้ผู้รับผู้สมัครเข้าเป็นสมาชิก ก็ให้ผู้สมัครนั้นชำระเงินค่าลง
ทะเบียน และค่าบำรุงสมาคม ให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน นับตั้งแต่วันที่ได้รับแจ้งจากเลขานุการ และสมาชิกภาพของผู้สมัคร ให้เริ่มนับตั้งแต่วันที่ผู้สมัครได้ชำระเงินค่าลงทะเบียนและค่าบำรุงสมาคม เป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ถ้าผู้สมัครไม่ชำระเงินค่าลงทะเบียนและค่าบำรุงภายในกำหนด ก็ให้ถือว่าการสมัครคราวนั้นเป็นอันยกเลิก
ข้อ 10. สมาชิกภาพของสมาชิกกิตติมศักดิ์ให้เริ่มนับตั้งแต่วันที่หนังสือตอบรับคำเชิญของผู้ที่คณะกรรมการสมาคม ได้พิจารณาลงมติให้เชิญเข้าเป็นสมาชิกของสมาคม ได้มาถึงยังสมาคม
ข้อ 11. สมาชิกภาพของสมาชิกให้สิ้นสุดลง ด้วยเหตุดังต่อไปนี้
11.1 ตาย
11.2 ลาออกโดยยื่นหนังสือเป็นลายลักษณ์อักษรต่อคณะกรรมการ และคณะกรรมการสมาคมได้พิจารณาอนุมัติ และสมาชิกผู้นั้นได้ชำระหนี้สินที่ยังติดค้างอยู่กับสมาคม เป็นที่เรียบร้อย
11.3 ขาดคุณสมบัติสมาชิก
11.4 ที่ประชุมใหญ่ของสมาคม หรือคณะกรรมการอำนวยการสมาคม ได้พิจารณาลงมติให้ลบชื่อ ออกจากทะเบียนเพราะสมาชิกผู้นั้นได้ประพฤตินำความเสื่อมเสียมาสู่สมาคม
ข้อ 12. สิทธิและหน้าที่ของสมาชิก
12.1 มีสิทธิเข้าใช้พื้นที่ของสมาคม โดยเท่าเทียมกัน
12.2 มีสิทธิเสนอความคิดเห็นเกี่ยวกับการดำเนินการของสมาคมต่อคณะกรรมการ
12.3 มีสิทธิได้รับสวัสดิการต่างๆ ที่สมาคม ได้จัดให้มีขึ้น
12.4 มีสิทธิเข้าร่วมประชุมใหญ่ของสมาคม
12.5 สมาชิกสามัญมีสิทธิในการเลือกตั้งหรือได้รับการเลือกตั้งหรือแต่งตั้งเป็นกรรมการสมาคม และมีสิทธิออกเสียงลงมติต่างๆ ในที่ประชุมได้คนละ 1 คะแนนเสียง
12.6 มีสิทธิร้องขอต่อคณะกรรมการสมาคม เพื่อตรวจสอบเอกสารและบัญชีทรัพย์สิน ของสมาคม
12.7 มีสิทธิเข้าชื่อกันอย่างน้อย 1 ใน 3 ของสมาชิกสามัญทั้งหมด หรือสมาชิกจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งร้อย คน ทำหนังสือร้องต่อคณะกรรมการให้จัดประชุมใหญ่สามัญได้
12.8 มีหน้าที่จะต้องปฏิบัติตามระเบียบปฏิบัติ และข้อบังคับของสมาคมโดยเคร่งครัด
12.9 มีหน้าที่ประพฤติตนให้สมกับเกียรติที่เป็นสมาชิกของสมาคม
12.10 มีหน้าที่ให้ความร่วมมือและสนับสนุนการดำเนินกิจการต่างๆ ของสมาคม
12.11 มีหน้าที่ร่วมกิจกรรมที่สมาคม ได้จัดให้มีขึ้น
12.12 มีหน้าที่ช่วยเผยแพร่ชื่อเสียงของสมาคม ให้เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย
หมวดที่ 3
การดำเนินการสมาคม
ข้อ 13. ให้คณะกรรมการคณะหนึ่ง ทำหน้าที่บริหารกิจการของสมาคมฯ มีจำนวนอย่างน้อย 9 คน อย่างมาก
ไม่เกิน 21 คน คณะกรรมการนี้ต้องเป็นสมาชิกสามัญที่ได้มาจากการเลือกตั้งของที่ประชุมใหญ่ของสมาคม และให้ผู้ที่ได้รับเลือกตั้งจากที่ประชุมใหญ่ เลือกตั้งกันเองเป็นนายกสมาคม 1 คน และอุปนายก 2 คน สำหรับตำแหน่งกรรมการ ในตำแหน่งอื่นๆ ให้นายกเป็นผู้แต่งตั้ง ผู้ที่ได้รับเลือกตั้งจากที่ประชุมใหญ่เข้าดำรงตำแหน่งต่างๆ ของสมาคม ตามที่ได้กำหนดไว้ ซึ่งตำแหน่งของกรรมการสมาคม มีตำแหน่งและหน้าที่โดยสังเขป ดังต่อไปนี้
13.1 นายกสมาคม ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าในการบริหารกิจการของสมาคม เป็นผู้แทนสมาคม ในการติดต่อกับบุคคลภายนอก และทำหน้าที่เป็นประธานในที่ประชุมคณะกรรมการการสมาคม และที่ประชุมใหญ่ของสมาคม
13.2 อุปนายก ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยนายกสมาคม ในการบริหารกิจการสมาคม ปฏิบัติหน้าที่ ที่นายกสมาคมมอบหมายและทำหน้าแทนนายกเมื่อนายกสมาคม ไม่อยู่หรือไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ แต่การทำหน้าที่แทนนายกสมาคม ให้อุปนายกตามลำดับตำแหน่งเป็นผู้กระทำการแทน
13.3 เลขานุการ ทำหน้าที่เกี่ยวกับงานธุรการของสมาคมทั้งหมด เป็นหัวหน้าเจ้าหน้าที่ของสมาคม ในการปฏิบัติกิจการของสมาคม และปฏิบัติตามคำสั่งของสมาคม ตลอดจนทำหน้าที่เป็นเลขานุการในการประชุมต่างๆ ของสมาคม
13.4 เหรัญญิก มีหน้าที่เกี่ยวกับการเงินทั้งหมดของสมาคม เป็นผู้จัดทำบัญชีรายรับ รายจ่าย บัญชีงบดุล ของสมาคมและเก็บเอกสารหลักฐานต่างๆของสมาคม ไว้เพื่อตรวจสอบ
13.5 ปฏิคม มีหน้าที่ให้การต้อนรับแขกของสมาคม เป็นหัวหน้าในการจัดเตรียมสถานที่ของสมาคม และจัดเตรียมสถานที่ประชุมต่างๆ ของสมาคม
13.6 นายทะเบียน มีหน้าที่เกี่ยวกับทะเบียนสมาชิกทั้งหมดของสมาคม และประสานงานกับเหรัญญิกในการเรียกเก็บเงินค่าบำรุงสมาคมจากสมาชิก
13.7 ประชาสัมพันธ์ มีหน้าที่เผยแพร่กิจการและชื่อเสียงเกียรติคุณของสมาคมให้สมาชิกและบุคคลทั่วไปให้เป็นที่รู้จักแพร่หลาย
13.8 กรรมการตำแหน่งอื่นๆ ตามความเหมาะสม ซึ่งคณะกรรมการ เห็นสมควรกำหนดให้มีขึ้น โดยมีจำนวนเมื่อรวมกับตำแหน่งกรรมการตามข้างต้นแล้ว จะต้องไม่เกินจำนวนที่ข้อบังคับได้กำหนดไว้ แต่ถ้า กรรมการที่มิได้กำหนดตำแหน่งก็ถือว่าเป็นกรรมการกลาง
ข้อ 14. คณะกรรมการของสมาคมสามารถอยู่ในตำแหน่งได้คราวละ 2 ปี และเมื่อคณะกรรมการอยู่ในตำแหน่งครบกำหนดตามวาระแล้ว แต่คณะกรรมการชุดใหม่ยังไม่ได้รับอนุญาต ให้จดทะเบียนจากทางราชการ ก็ให้คณะกรรมการ ที่ครบกำหนดตามวาระรักษาการไปพลางก่อน จนกว่าคณะกรรมการชุดใหม่จะได้รับอนุญาต และเมื่อคณะกรรมการชุดใหม่ ได้รับอนุญาตให้จดทะเบียนจากทางราชการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ให้ทำการส่งและรับมอบงานกันระหว่างกรรมการชุดเก่าและกรรมการชุดใหม่ ให้เป็นที่เสร็จสิ้นภายใน 7 วัน นับตั้งแต่วันที่คณะกรรมการชุดใหม่ได้รับอนุญาตให้จดทะเบียนจากทางราชการ
ข้อ 15. ตำแหน่งกรรมการสมาคม ถ้าต้องว่างลงก่อนครบกำหนดตามวาระ ก็ให้คณะกรรมการแต่งตั้งสมาชิก สามัญคนใดคนหนึ่งที่เห็นสมควรเข้าดำรงตำแหน่งแทนที่ว่างลงนั้น แต่ผู้ดำรงตำแหน่งแทน อยู่ในตำแหน่ง ได้เท่ากับวาระของผู้ที่ตนแทนเท่านั้น และถ้าเป็นตำแหน่งนายกสมาคมว่าง ก็ให้คณะกรรมการเลือกกันเองเป็นนายกสมาคม
ข้อ 16. กรรมการอาจจะพ้นจากตำแหน่ง ซึ่งมิใช่เป็นการออกตามวาระ ด้วยเหตุผล ดังต่อไปนี้
16.1 ตาย
16.2 ลาออก
16.3 ขาดจากสมาชิกภาพตามข้อบังคับและตามที่กฎหมายได้กำหนดไว้
16.4 ที่ประชุมใหญ่ลงมติให้ออกจากตำแหน่ง
16.5 เป็นผู้มีความประพฤติและปฏิบัติตนเป็นที่เสื่อมเสียและคณะกรรมการสมาคมมีมติให้ออกโดยมีคะแนน เสียงไม่น้อยกว่าสามในสี่ของคณะการกรรมของสมาคม
ข้อ 17. กรรมการที่ประสงค์จะลาออกจากตำแหน่งกรรมการ ให้ยื่นใบลาเป็นลายลักษณ์อักษรต่อคณะกรรมการ และคณะกรรมการมีมติให้ออก
ข้อ 18. อำนาจและหน้าที่ของคณะกรรมการ
18.1 มีอำนาจออกระเบียบปฏิบัติต่างๆ เพื่อให้สมาชิกได้ปฏิบัติ โดยระเบียบปฏิบัตินั้น จะต้องไม่ขัดต่อ ข้อบังคับฉบับนี้
18.2 มีอำนาจแต่งตั้งและถอดถอนเจ้าหน้าที่สมาคม
18.3 มีอำนาจแต่งตั้งกรรมการที่ปรึกษา หรืออนุกรรมการได้ แต่กรรมการที่ปรึกษาหรืออนุกรรมการ จะสามารถอยู่ในตำแหน่งได้ไม่เกินวาระของกรรมการที่แต่งตั้ง
18.4 มีอำนาจเรียกประชุมใหญ่สามัญประจำปี และประชุมใหญ่วิสามัญ
18.5 มีอำนาจแต่งตั้งกรรมการในตำแหน่งอื่นๆ ที่ยังมิได้กำหนดไว้ในข้อบังคับนี้
18.6 มีอำนาจบริหารกิจการของสมาคม เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ ตลอดจนมีอำนาจอื่นๆตามที่ข้อบังคับได้กำหนดไว้
18.7 มีหน้าที่รับผิดชอบในกิจการทั้งหมด รวมทั้งการเงินและทรัพย์สินทั้งหมดของสมาคม
18.8 มีหน้าที่จัดให้มีการประชุมใหญ่วิสามัญ ตามที่สมาชิกสามัญจำนวน 1 ใน 3 ของสมาชิกทั้งหมด ได้เข้าชื่อร้องขอให้จัดประชุมใหญ่วิสามัญขึ้น ซึ่งการนี้จะต้องจัดให้มีการประชุมใหญ่วิสามัญขึ้นภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือร้องขอ
18.9 มีหน้าที่จัดทำเอกสารหลักฐานต่างๆ ทั้งที่เกี่ยวกับการเงิน ทรัพย์สิน และการดำเนินกิจการต่างๆ ของสมาคม ให้ถูกต้องตามหลักวิชาการ และสามารถจะให้สมาชิกตรวจดูได้เมื่อสมาชิกร้องขอ
18.10 จัดทำบันทึกการประชุมต่างๆ ของสมาคม เพื่อเก็บไว้เป็นหลักฐาน และจัดส่งสมาชิกให้รับทราบ
18.11 มีหน้าที่อื่นๆ ตามที่ข้อบังคับได้กำหนดไว้
ข้อ 19. คณะกรรมการจะต้องประชุมกันอย่างน้อย 4 เดือนต่อครั้ง โดยให้จัดขึ้นภายในวันที่ 10 ของเดือน ทั้งนี้เพื่อปรึกษาหารือเกี่ยวกับการบริหารกิจการของสมาคม
ข้อ 20. การประชุมคณะกรรมการ จะต้องมีกรรมการเข้าร่วมประชุมไม่น้อยกว่าครึ่งหนึ่งของกรรมการทั้งหมด จึงจะถือว่าครบองค์ประชุม มติของที่ประชุมคณะกรรมการ ถ้าข้อบังคับมิได้กำหนดไว้เป็นอย่างอื่นก็ให้ถือคะแนนเสียงข้างมากเป็นเกณฑ์ แต่ถ้าคะแนนเสียงเท่ากัน ก็ให้ประธานในการประชุมเป็นผู้ชี้ขาด
ข้อ 21. ในการประชุมคณะกรรมการ ถ้านายกสมาคมมาคมและอุปนายกสมาคมไม่อยู่ในที่ประชุม หรือไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ ก็ให้กรรมการที่เข้าประชุมในคราวนั้นเลือกตั้งกันเอง เพื่อให้กรรมการคนใดคนหนึ่ง ทำหน้าที่เป็นประธานในการประชุมคราวนั้น
หมวดที่ 4
การประชุมใหญ่
ข้อ 22. การประชุมใหญ่ของสมาคมมี 2 ชนิด คือ
22.1 การประชุมใหญ่สามัญ
22.2 การประชุมใหญ่วิสามัญ
ข้อ 23. คณะกรรมการต้องจัดให้มีการประชุมใหญ่สามัญประจำปี ปีละ 1 ครั้ง ภายในเดือนกรกฎาคม ของทุกๆปี
ข้อ 24. การประชุมใหญ่วิสามัญ อาจจะมีขึ้นได้ก็โดยเหตุที่คณะกรรมการเห็นสมควรจัดให้มีขึ้น หรือเกิดขึ้นด้วยการ
เข้าชื่อร่วมกันของสมาชิกสามัญจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในห้าของสมาชิกทั้งหมด หรือจำนวนสมาชิกจำนวนไม่น้อยกว่าห้าสิบคน หรือสมาชิกจำนวนไม่น้อยกว่าที่กำหนดไว้ในข้อบังคับ จะทำหนังสือร้องขอต่อคณะกรรมการของสมาคมให้เรียกประชุมใหญ่วิสามัญก็ได้ ในหนังสือร้องขอนั้นต้องระบุว่าประสงค์ให้เรียกประชุมเพื่อการใด
เมื่อคณะกรรมการของสมาคมได้รับหนังสือร้องขอให้เรียกประชุมใหญ่วิสามัญตามวรรคแรก ให้คณะกรรมการของสมาคมเรียกประชุมใหญ่วิสามัญ โดยจัดให้มีการประชุมขึ้นภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับคำขอ ถ้าคณะกรรมการของสมาคมไม่เรียกประชุมภายในระยะเวลาตามวรรคสอง สมาชิกที่เป็นผู้ร้องขอให้เรียกประชุมหรือสมาชิกอื่นรวมกันมีจำนวนไม่น้อยกว่าจำนวนสมาชิกที่กำหนดตามวรรคแรกจะเรียกประชุมเองก็ได้
ข้อ 25. การแจ้งกำหนดนัดประชุมใหญ่ ให้เลขานุการเป็นผู้แจ้งกำหนดนัดประชุมใหญ่ให้สมาชิกได้ทราบ และการแจ้ง
จะต้องแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรโดยระบุวัน เวลาและสถานที่ให้ชัดเจน โดยจะต้องแจ้งให้สมาชิกได้ทราบล่วงหน้า ไม่น้อยกว่า 7 วัน และประกาศแจ้งกำหนดนัดประชุมไว้ ณ สำนักงานของสมาคม เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 7 วัน ก่อนถึงกำหนดการประชุมใหญ่ หรือลงพิมพ์โฆษณาอย่างน้อยสองคราวในหนังสือพิมพ์ที่แพร่หลายในท้องที่ฉบับหนึ่งก่อนวันนัดประชุมไม่น้อยกว่า 7 วันก็ได้
ข้อ 26. การประชุมใหญ่สามัญประจำปี จะต้องมีวาระการประชุมอย่างน้อย ดังต่อไปนี้
26.1 แถลงกิจการที่ผ่านมาในรอบปี
26.2 แถลงบัญชีรายรับ รายจ่าย และบัญชีงบดุลของปีที่ผ่านมาให้สมาชิกรับทราบ
26.3 เลือกตั้งกรรมการชุดใหม่เมื่อครบกำหนดวาระ
26.4 เลือกตั้งผู้สอบบัญชี
26.5 ตรวจสอบทะเบียนสมาชิกให้เป็นปัจจุบัน
26.6 เรื่องอื่นๆ ถ้ามี
ข้อ 27. การประชุมใหญ่สามัญประจำปี หรือการประชุมใหญ่วิสามัญจะต้องมีสมาชิกสามัญเข้าร่วมประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งหรือไม่น้อยกว่าห้าสิบคน จึงจะครบองค์ประชุม หากถึงกำหนดเวลาการประชุมแล้ว สมาชิกยังไม่ครบองค์ประชุม ถ้าการประชุมใหญ่ครั้งนั้นเป็นการประชุมใหญ่ตามคำเรียกร้องของก็ให้งดการประชุม แต่ถ้าเป็นกรณีการประชุมใหญ่ที่คณะกรรมการสมาคมเป็นผู้เรียกประชุม ก็ให้เรียกประชุมใหญ่อีกครั้งหนึ่ง โดยจัดให้มีการประชุมขึ้นภายใน 14 วัน นับตั้งแต่วันที่นัดประชุมครั้งแรก การประชุมครั้งหลังนี้ ไม่บังคับว่าจะต้องครบองค์ประชุม
ข้อ 28. การลงมติต่างๆ ในที่ประชุมใหญ่ ถ้าข้อบังคับมิได้กำหนดไว้เป็นอย่างอื่น ก็ให้ถือคะแนนเสียงข้างมากเป็นเกณฑ์ แต่ถ้าคะแนนเสียงที่ลงมติ มีคะแนนเสียงเท่ากัน ก็ให้ประธานในการประชุมเป็นผู้ชี้ขาด
ข้อ 29. ในการประชุมใหญ่ของสมาคม ถ้านายกสมาคมและอุปนายกสมาคมไม่มาร่วมประชุมหรือไม่สามารถจะปฏิบัติหน้าที่ได้ ก็ให้ที่ประชุมใหญ่ ทำการเลือกตั้งกรรมการที่มาร่วมประชุมคนใดคนหนึ่ง ให้ทำหน้าที่เป็นประธานในการประชุมคราวนั้น
หมวดที่ 5
การเงินและทรัพย์สิน
ข้อ 30. การเงินและทรัพย์สินทั้งหมดให้อยู่ในความรับผิดชอบของคณะกรรมการ เงินสดของสมาคม ถ้ามีให้นำฝากไว้ในธนาคารของรัฐ
ข้อ 31. การลงนามในตั๋วเงินหรือเช็คของสมาคม จะต้องมีลายมือชื่อของนายกสมาคมหรือผู้ทำการแทน ลงนามร่วมกับเหรัญญิก หรือเลขานุการ พร้อมกับประทับตราของสมาคม จึงจะถือว่าใช้ได้
ข้อ 32. นายกสมาคมฯ มีอำนาจสั่งจ่ายเงินของสมาคมฯ ได้ครั้งละไม่เกิน 20,000 บาท (สองหมื่นบาทถ้วน) ถ้าเกินกว่านั้นจะต้องได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการสมาคม และคณะกรรมการ จะอนุมัติให้จ่ายเงินได้ครั้งละไม่เกิน 100,000 บาท (หนึ่งแสนบาทถ้วน) ถ้าจำเป็นจะต้องจ่ายเกินกว่านี้ ต้องได้รับอนุมัติจากที่ประชุมใหญ่ของสมาคม
ข้อ 33. เหรัญญิก มีอำนาจเก็บรักษาเงินสดได้ไม่เกิน 3,000 บาท (สามพันบาทถ้วน) ถ้าเกินกว่าจำนวนนี้ จะต้องนำฝากธนาคารในบัญชีของสมาคมทันทีที่โอกาสอำนวย
ข้อ 34. เหรัญญิก จะต้องทำบัญชี รายรับ รายจ่าย และบัญชีงบดุลให้ถูกต้องตามหลักวิชาการ การรับหรือจ่ายเงินทุกครั้งจะต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ ลงลายมือชื่อของนายกสมาคมหรือผู้ทำการแทน ร่วมกับเหรัญญิก หรือผู้ทำการแทนพร้อมกับประทับตราของสมาคมทุกครั้ง
ข้อ 35. ผู้สอบบัญชี จะต้องมิใช่กรรมการหรือเจ้าหน้าที่ของสมาคม และจะต้องเป็นผู้สอบบัญชีที่ได้รับอนุญาต
ข้อ 36. ผู้สอบบัญชีมีอำนาจหน้าที่จะเรียกเอกสารที่เกี่ยวกับการเงินและทรัพย์สินจากคณะกรรมการ และสามารถ
จะเชิญกรรมการ หรือเจ้าหน้าที่ของสมาคม เพื่อสอบถามเกี่ยวกับบัญชีและทรัพย์สินของสมาคมได้
ข้อ 37. คณะกรรมการสมาคมฯ จะต้องให้ความร่วมมือกับ ผู้สอบบัญชี เมื่อได้รับการร้องขอ
หมวดที่ 6
การเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อบังคับและการเลิกสมาคม
ข้อ 38. ข้อบังคับของสมาคมจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้โดยมติของที่ประชุมใหญ่เท่านั้น และองค์ประชุมใหญ่จะต้องมีสมาชิกสามัญเข้าร่วมประชุม ไม่น้อยกว่าครึ่งหนึ่งของสมาชิกสามัญทั้งหมด มติของที่ประชุมใหญ่ในการให้เปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อบังคับ จะต้องมีคะแนนเสียงมีน้อยกว่า 2 ใน 3 ของสมาชิกสามัญที่เข้าร่วมประชุมทั้งหมด
ข้อ 39. การเลิกสมาคมจะเลิกได้ก็โดยมติของที่ประชุมใหญ่ของสมาคม ยกเว้นเป็นการยกเลิกเพราะเหตุของกฎหมาย มติของที่ประชุมใหญ่ที่ให้เลิกสมาคม จะต้องมีคะแนนเสียงไม่น้อยกว่า 3 ใน 4 ของสมาชิกสามัญ ที่เข้าร่วมประชุมทั้งหมด
ข้อ 40. เมื่อสมาคมต้องเลิกไม่ว่าด้วยเหตุใดๆก็ตาม ทรัพย์สินของสมาคมที่เหลืออยู่ หลังจากที่ได้ชำระบัญชี เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ให้ตกเป็นของวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สระบุรี เท่านั้น (ผู้รับต้องมีฐานะเป็นนิติบุคคล ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อการกุศลสาธารณประโยชน์)
หมวดที่ 7
บทเบ็ดเตล็ด
ข้อ 41. การตีความข้อบังคับของสมาคม หากเป็นที่สงสัย ให้ที่ประชุมใหญ่โดยเสียงข้างมาก ของที่ประชุมชี้ขาด
ข้อ 42. ให้นำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยสมาคมมาใช้บังคับ ในเมื่อข้อบังคับ ของสมาคมมิได้กำหนดไว้ และหากมีข้อบังคับใดขัดกับประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ก็ให้ถือปฏิบัติตามกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ข้อ 43. สมาคมต้องไม่ดำเนินการหาผลประโยชน์มาแบ่งปันกันหรือเพื่อบุคคลใด นอกจาก เพื่อดำเนินการตามวัตถุประสงค์ของสมาคมเอง
หมวดที่ 8
บทเฉพาะกาล
ข้อ 44. ข้อบังคับฉบับนี้นั้น ให้เริ่มใช้บังคับได้ นับตั้งแต่วันที่สมาคมได้รับอนุญาตให้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล เป็นต้นไป
ข้อ 45. เมื่อสมาคมได้รับอนุญาตให้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลจากทางราชการ ก็ให้ถือว่าผู้เริ่มก่อตั้งทั้งหมด เป็นสมาชิกสามัญและสมาชิกภาพ ของคณะกรรมการที่ตั้งขึ้น เริ่มตั้งแต่วันจดทะเบียนเป็นต้นไป